EN

กัลปพฤกษ์ Cassia bakeriana

ชื่อสมุนไพร : กัลปพฤกษ์

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น : ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ), กาลพฤกษ์ (ภาคกลาง), เปลือกขม, แก่นร้าง (ภาคตะวันออก)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Caddia bakeriana Craib

ชื่อสามัญ : Pink shower.Pink cassia, Wishing tree

วงศ์ : CAESALPINICEAE

ถิ่นกำเนิดกัลปพฤกษ์ : กัลปพฤกษ์ จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้างใน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วไปเกือบทั่วทุกภาคของประเทศยกเว้นภาคใต้ โดยจะพบมากในภาคเหนือ และภาคอีสาน บริเวณ ป่าโคก ป่าแดง และป่าเบญจพรรณ ทั่วไป

ประโยชน์และสรรพคุณกัลปพฤกษ์ :

  • ใช้ระบายอ่อนๆ
  • แก้คูถ
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยระบายอุจจาระธาตุ
  • แก้พรรณดึก
  • ใช้ทำให้อาเจียน
  • ช่วยถ่ายพิษไข้
  • ใช้เป็นยาลดไข้
  • แก้อักเสบ
  • แก้พรรณดึก
  • แก้โรคเบาหวาน
  • ช่วยฆ่าเชื้อคุดทะราด
  • รักษากลาก เกลื้อน
  • รักษาโรคผิดหนังต่างๆ
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
  • แก้เบาหวาน
  • แก้ท้องเสีย

ในสมัยโบราณจะใช้เนื้อในฝักกัลปพฤกษ์กินกับหมาก และใช้น้ำฝาดของเนื้อไม้กัลปพฤกษ์ ส่วนของใบ และดอกของกัลปพฤกษ์มีการนำมาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย และหมู เป็นต้น และเนื้อไม้กัลปพฤกษ์สามารถนำมาแปรรูป เพื่อตกแต่งบ้านเรือน เช่น ฝ้า ราวบันได และไม้แต่งเสา เป็นต้น นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนิยมนำกัลปพฤกษ์ มาปลูก เป็นไม้ดอกประดับ ตามสถานที่ราชการต่างๆ สวนสาธารณะ หรือ ตามสองข้างทาง เนื่องจากมีดอกออกเป็นช่อสีชมพูขาวสวยงามอีกด้วย

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ :

  • ใช้ลดไข้ ถ่ายพิษไข้ โดยนำเปลือกฝักแห้ง และเมล็ดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ระบายอ่อนๆ ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรณดึก แก้เสมหะ แก้คูถโดยนำ เนื้อในฝักกัลปพฤกษ์ มารับประทาน (ประมาณ 8 กรัม)
  • ใช้ลดไข้ ฆ่าเชื้อคุดทะราด แก้ท้องเสีย เป็นยาระบาย โดยนำราก หรือ แก่นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ฆ่าเชื้อและรักษา กลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ต่างๆ โดยนำ รากเปลือกต้น และแก่นมาฝนทาที่บริเวณที่เป็น หรือ นำมาต้มอาบก็ได้
  • ใช้แก้อักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด แก้เบาหวาน โดยนำดอกแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาระบายโดยนำใบแห้งมาต้มกับน้ำ หรือ ชงกับน้ำร้อนกินก็ได้
     

ลักษณะทั่วไปของกัลปพฤกษ์ : กัลปพฤกษ์ จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงกลาง มีความสูง 5-12 เมตร มีทรงพุ่มโปร่งกว้าง ไม่หนาทึบ และมักจะแตกกิ่งในระดับต่ำ ทอดกิ่งในแนวตั้งขึ้นด้านบน เปลือกลำต้นมีลักษณะเรียบ ผิวเปลือกมีสีเทา ยอดอ่อน และกิ่งอ่อนมีขนปกคลุมหนาแน่น เนื้อไม้มีสีเหลืองถึงสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ออกแบบเรียงสลับ โดยใบจะออกเป็นช่อยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ในแต่ละช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-10 คู่ เรียงจากเล็กไปหาใหญ่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่ขอบขนานถึงรูปใบหอก โคนใบมนปลายใบกลม บางครั้งมีติ่งสั้นๆ ตรงปลายขอบใบเรียบ ใบย่อยมีขนาดกว้าง 1.5-3 เซนติเมตร และยาว 4-10 เซนติเมตร แผ่นใบบาง มีขนละเอียดนุ่มขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน แต่ด้านท้องใบจะมีขนขึ้นหนาแน่นมากกว่าด้านหลังใบ และมีเส้นแขนงใบมีข้างละ 7-9 เส้น ดอกออกเป็นช่อ กระจะบริเวณกิ่งและปลายกิ่งโดยช่อดอกจะยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร ส่วนดอกย่อยประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 5 กลีบ รูปหอกแกมรูปไข่ขนาด 2-3 มิลลิเมตร อยู่ด้านนอกสุด มีสีแดงเข้ม ถัดมาเป็นกลีบดอก จำนวน 5 กลีบ รูปใบหอกแกมรูปไข่ โดยแต่ละกลีบกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร เมื่อดอกตูม มีสีชมพูอ่อน และเมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีขาว และจะมีเกสรตัวผู้ มีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน ผลเป็นฝักเช่นเดียวกับราชพฤกษ์ (แต่มีขนาดเล็กกว่า) ลักษณะทรงกระบอกยาวแคบ และมักจะคอดเป็นช่วงๆ ฝัก เมื่อฝักอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาลถึงดำห้อยลงมาจากกิ่ง ฝักมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ผิวฝักมีขนนุ่มสีเทาปกคลุม ภายในฝักแบ่งออกเป็นช่องๆ ตามขวางมีเนื้อในฝักสีขาวปนเขียว และจะมีเมล็ดประมาณ 30-40 เมล็ด ส่วนเมล็ดกัลปพฤกษ์ มีลักษณะค่อนข้างกลมแบน รูปไข่ ถึงรูปขอบขนาน มีสีน้ำตาลเป็นมัน มีขนาดกว้าง 0.6-0.8 มิลลิเมตร และยาว 0.8-1.1 เซนติเมตร